ReadyPlanet.com
dot dot
bulletHome
dot
Group Menu
dot
bulletบริการของเรา
bulletสนทนาภาษาดนตรี
bulletสินค้าของเรา
bulletนานาสาระ
dot
Newsletter

dot
bulletgoogle.com
bulletpantip.com
bulletMahidol University
bulletวิทยาลัยดุริยางคศิลป์
bulletintranet.sasin.edu/thaimusicclub
bullethttps://www.facebook.com/smusichome




ทฤษฎี 5 เกลียวรู้ : แนวการวิจัยภาคสนาม

 ทฤษฎี 5 เกลียวรู้ :  แนวการวิจัยภาคสนาม

รศ.ณรงค์ชัย  ปิฎกรัชต์

 

         ตอนที่ 1 "บทนำ"

 

            กระบวนการศึกษาเพื่อแสวงหาความรู้ความจริง ที่เรียกว่าการวิจัยนั้น  มีความจริงประการหนึ่งในการศึกษาหาความรู้ก็คือ  การมีเข็มทิศไว้นำทางเพื่อเป็นหลักคิด  คิดคาดเอาตามหลักวิชาเป็นแนวนำอย่างมีระเบียบ  มุ่งไปสู่คำตอบเชิงวิจัย  นักวิจัยส่วนมากต่างก็มีแนวคิดที่ตั้งอยู่บนฐานรากของทฤษฎี  มีความเห็นของเหตุผลที่เป็นไปได้  โดยมวลของแนวคิดหรือแนวเห็นนั้นอาจผ่านมาจากนักคิดคนก่อนๆ ทั้งที่ได้ร่ำเรียนมา  ได้มาจากการทบทวนส่วนที่เกี่ยวข้อง  จากประสบการณ์ของนักวิจัยที่เคยประสบความสำเร็จ  ประสบความผิดพลาดพลั้งเผลอ  และยอมรับผลนั้นมาไตร่ตรองว่า  “ถูกก็คือครู  ผิดก็คือครู”  ตามนัยนี้ก็หมายความว่าส่วนที่ถูกเป็นสิ่งที่ควรยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อไป ส่วนที่ผิดก็ละเว้น ไม่ถือปฏิบัติ อย่างนี้ถือว่าถูกต้องเพราะละในสิ่งที่ควรละ ทำในสิ่งที่ควรทำ

 

คำว่า “ทฤษฎี” ตามนัยของ Theory  เป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเหตุเป็นผล  คำอธิบายที่ตรงที่สุดคือหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ที่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของสาระที่นำมาอธิบายตามพลความว่า  ความเป็นจริงนั้นบังเกิดขึ้นได้อย่างไร  มีหลักเกณฑ์และระบบงานเช่นไร  สิ่งที่เป็นทฤษฎีตามความหมายนี้สามารถพิสูจน์หรือตรวจซ้ำข้อคำอธิบายในความเป็นจริงที่ปรากฏนั้นได้เสมอ   ไม่จำกัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใด   เพราะทฤษฎีมีความเป็นหลักการ  มีความเป็นในศาสตร์   ปรากฏออกมาในรูปคำอธิบายที่เป็นหลักการ  ระบบแนวทาง  แผนผัง  สูตร  หรือกรอบความคิด  แบบใดก็ได้    

    

            การศึกษางานดนตรีภาคสนาม  ดูเป็นงานที่ง่าย  เพลิดเพลิน  มีความสุข  เพราะได้สัมผัสกับบุคคลข้อมูล  ได้พูด ได้คุย ได้ฟัง ได้เห็น  ได้สัมผัส  หรือได้ร่วมกิจกรรมทางสังคม  และประเพณี  แต่ถ้าพิจารณาด้วยหลักวิชาการของการวิจัยดนตรีชาติพันธุ์วิทยาแล้ว  ในความง่ายมิใช่เรื่องง่ายอย่างง่ายที่คิด  หรือง่ายนึกที่เต็มไปด้วยจินตนาการและใช้ใจเป็นศูนย์กลางบัญชาการ  คิดว่าสนามวิจัยรายล้อมด้วยนักดนตรีชาวบ้านๆ  หรือชาวบ้านที่เป็นบริบท  รู้ไม่เท่า  คิดไม่ทัน  หรือมีสถานะของความเป็นรองทางการศึกษา  และสถานภาพเป็นรองทางสังคม  หากก้าวล่วงความคิดไปเช่นนั้นแล้วก็พึงรอรับจุดอ่อนของผลการศึกษาได้   

 

งานดนตรีภาคสนามนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนเชิงความคิด  ความซับซ้อนเชิงคุณค่า  ซับซ้อนในเนื้อหาแฝง  และความซับซ้อนเชิงระบบ งานสนามมีอรรถสาระของสิ่งที่ต้องการศึกษา  มีบุคคลหลายวงที่รายล้อม  วงที่รายล้อมมีภาพซ้อนของขนบประเพณี  ในภาพซ้อนของขนบประเพณีมีความซ้อนของความรู้สึกที่เป็นเหตุผลซึ่งไม่อาจพบได้ทันที  ดังนั้นในภาพซ้อนของภาพซ้อนนั้นๆ จึงมีตัวแปรแทรกซ้อน  ซ้อนสลับสับกันอยู่ ด้วยพื้นภูมิของบุคคลในสนามที่อยู่กับวิถีชีวิต   วิถีดนตรี  วิถีวัฒนธรรม  และอีกหลายๆวิถี  การจัดการทางวิชาการจึงควรเป็นวิธีที่เข้าถึงประสิทธิภาพของข้อมูลที่ดีที่สุด  ซึ่งทฤษฎี 5 เกลียวรู้ ที่นำเสนอนี้เป็นหนึ่งในเข็มทิศนำทางของการศึกษาดนตรีภาคสนามอีกทางเลือกหนึ่ง

 

            ทฤษฎี 5 เกลียวรู้ ตั้งอยู่บนหลักการของสิ่งที่ควรรู้  5  ฐาน  แต่ละฐานมีความสัมพันธ์กัน  คือ  รู้จัก  รู้ใจ  รู้ลึก  รู้จริง  และรู้พอ      หรือ  รู้ – จักใจลึกจริงพอ  ดังแผนภูมิ

 

 

 

หลักการของทฤษฎี 5 เกลียวรู้นี้  เป็นการวิเคราะห์ตัวของนักวิจัยก่อนที่จะก้าวไปสู่ปฏิบัติการในงานภาคสนาม  พิจารณาจากนามธรรมไปสู่ปรากฏการณ์รูปธรรม  จากความว่างเปล่าไปสู่สิ่งที่มี  เป็นภาพผสานเชิงซ้อนระหว่างการปฏิบัติงานวิจัยของนักวิจัย  คนดนตรี  วัฒนธรรมดนตรี  เนื้อหาดนตรี  และผลของสารัตถะ  ดังจักได้อรรถาธิบายตามลำดับต่อไป.

 

ตอนที่ 2 "รู้จัก"

 

 

 

การศึกษาดนตรีในงานภาคสนาม มีความซับซ้อนที่ซ้อนทับด้วยระบบของจารีตประเพณี  ความเชื่อ  มีความเข้มในเชิงวิถีชน  มีความข้นในเชิงสาระที่บรรดานักวิจัยสนามสามารถสัมผัสและเรียนรู้ได้เมื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรมนั้น  ดังคำที่นักวิจัยทางมานุษยวิทยากล่าวถึงอยู่เสมอคือความเป็นคนในของวัฒนธรรมชุมชน  คำ “คนใน”  และมีคำตรงข้ามว่า “คนนอก”  เป็นคำที่นำมาอธิบายได้ชัดเจน  ภาพเชิงซ้อนของงานภาคสนามบางครั้งก็สร้างความกังวลให้แก่นักวิจัยสนามไม่น้อย  โดยเฉพาะการเริ่มต้นที่ดีของการทำงาน 

 

ขั้นตอนแรกของทฤษฎี 5 เกลียวรู้ คือ ขั้นตอนของคำว่า “รู้จัก” นิยามของคำนี้ มีความหมายถึงสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของนักวิจัยเองในการที่ได้ผ่านพบ  การพบนี้ตีความอย่างตรงไปตรงมาก็คืออากัปกิริยาที่เป็นผลอย่างต่อเนื่องกัน  ผลนั้นเกิดขึ้นโดยการค้นพบ  การหาพบ  หรือการไปพบ  จึงเป็นสภาวะของการเคยพบ  เคยเห็น ที่สุดก็รู้สิ่งที่พบนั้น  เมื่อรู้แล้วจึงจำได้  ความจำเป็นอดีตกาลของมวลประสบการณ์ที่ผ่านไปแล้ว  เป็นกระบวนการภายในที่ซ่อนอยู่จนก่อให้เกิดการระลึก นึกถึง  นึกคิด  และนึกออก  เพราะจำได้  คำแต่ละคำที่ยกอ้างนี้ต่างก็มีนัยสำคัญอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์

 

ขั้นตอนแรกของงานภาคสนามขึ้นอยู่ที่นักวิจัยมีโครงคิดเช่นไร  ความคิดที่มีนั้นตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลหรือไม่  หรือตั้งอยู่บนความไม่รู้  หรือรู้บ้างแต่มีข้อมูลจำกัด  การมีข้อมูลที่ไม่เอื้อต่อการก้าวเกี่ยวไปสู่สนามนั้นเป็นสิ่งที่ควรต้องพิจารณาอย่างมาก  เพราะผลที่ได้รับนั้นอาจมีปัญหาได้  นักวิจัยดนตรีที่สนใจศึกษาความรู้ดนตรีของกลุ่มวัฒนธรรมหนึ่งแล้วดุ่มเดาเข้าพื้นที่  ตัวอย่างประกอบ เช่น กรณีการศึกษาดนตรีของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดตาก  นักวิจัยอาจจะต้องใช้เวลานาน  ทั้งนี้เพราะชาวกะเหรี่ยงมีจำนวนมาก  มีถิ่นอาศัยกระจาย  มีความต่างของวัฒนธรรมย่อย  ทั้งกะเหรี่ยงปวาเกอญอ  กะเหรี่ยงโป  กะเหรี่ยงอื่นๆ หรืออาจมีวิธีที่แยกออกเป็นกะเหรี่ยงพุทธ  กะเหรี่ยงคริสต์  กะเหรี่ยงดั้งเดิมที่ยังนับถือศาสนาจิตวิญญาณ  เป็นต้น ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นขั้นตอนที่นักวิจัยต้องรู้จักส่วนของงานที่ศึกษา 

 

นักวิจัยควรศึกษาความเป็นชาวกะเหรี่ยงโดยภาพรวม  ศึกษาสังคมประเพณี  จารีตปฏิบัติขนบธรรมเนียม    ทำความเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์  วิถีชีวิต ศึกษาถิ่นที่พำนัก  ศึกษาข้อมูลดนตรี  ศิลปะการแสดง  โดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั้งบทความ  งานเขียน สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์  งานวิจัย  ข้อมูลสถิติชาวเขาของกรมประชาสงเคราะห์  ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต  วีดิทัศน์สารคดีที่เกี่ยวข้อง  ฯลฯ

 

การศึกษาจารีตปฏิบัติ  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก  ความแตกต่างระหว่างนักวิจัยสนามกับบุคคลข้อมูลในงานสนามซึ่งเป็นกลุ่มวัฒนธรรมเฉพาะ  มีสิ่งที่ง่ายต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นง่าย  เพราะเรื่องของจารีตนั้นกลุ่มวัฒนธรรมเฉพาะได้ถือปฏิบัติและประพฤติต่อเนื่องกันมาช้านาน  ยิ่งเป็นข้อห้ามแล้ว  หากเกิดมีขึ้นความรุนแรงก็อาจขึ้นทันที  เช่น  ข้อห้ามด้านการถูกเนื้อต้องตัว  การอยู่ตามลำพังระหว่างบุคคลต่างเพศ  แม้ในความเป็นอยู่ของกลุ่มวัฒนธรรมเองก็ระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้  ดังพบได้จากชนเผ่าซาไกที่พ่อของสามีแม้เมื่อต้องพูดคุยกับลูกสะใภ้ก็ต้องมีบุคคลที่ 3 นั่งหรืออยู่คั่นกลางเสมอ  สิ่งนี้คือกลไกควบคุมระบบสังคมของกลุ่มวัฒนธรรมเฉพาะไว้  ต่างจากสังคมเมืองที่ในปัจจุบันไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ  การแตะสัมผัสของบุคคลต่างเพศโดยไม่เจตนาเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อต้องไปอยู่ในที่ท่ามกลางชุมชนที่แออัด  หรือขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้  การศึกษาให้รู้จักจารีตเช่นนี้จึงมีความจำเป็น  เพราะแม้แต่นักวิจัยที่เข้าไปศึกษางานเป็นกลุ่มเป็นคณะก็ต้องไม่ให้เกิดมีขึ้นในหมู่ของตนเองเช่นกัน

 

ภาษา  เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้อย่างหนึ่ง  แต่เป็นการยากมากสำหรับงานภาคสนามที่เข้าไปศึกษาในวัฒนธรรมที่ต่างภาษาพูด  อย่างไรก็ตามในโลกปัจจุบันที่ระบบการศึกษาที่รัฐบาลส่วนกลางกำหนดให้คนไทยที่เกิดในประเทศไทยทุกคน  รวมทั้งกลุ่มชนต่างๆ ให้เข้ารับการศึกษาภาคบังคับ  แม้ว่าในงานสนามอาจมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยกลางได้  บรรดาเยาวชนที่มีอยู่ในพื้นที่ก็สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ได้  อย่างไรก็ตามสำหรับการศึกษาดนตรีของนักวิจัยดนตรีแล้ว  ภาษาของดนตรีกลับเป็นดั่งเครื่องปรุงรสอย่างดีต่อการสร้างสายใยความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างภาษาแต่มีภาษาดนตรีเหมือนกัน  คนดนตรีจึงย่อมมีจุดร่วมในภาษาเสียง  และหากนักวิจัยมีพื้นภาษาพูดบ้างโดยเฉพาะศัพท์คำที่ต้องสื่อสาร  ส่วนนี้ก็จะช่วยพัฒนาความรู้ที่นักวิจัยต้องการจากสิ่งที่ต้องการศึกษา 

 

ภาษาดนตรีบางคำศัพท์ของบางถิ่นที่นักวิจัยดนตรีอาจต้องทำความเข้าใจ เช่น คำว่าลูกคู่ของภาษาดนตรีถิ่นใต้หมายถึงวงดนตรี  นักดนตรี  ไม่ใช่การขับร้องเพื่อร้องรับคำร้องต้นเสียงของภาษาดนตรีภาคกลาง  หรือคำว่าหลาบในภาษาดนตรีอีสานหมายถึงโลหะบางๆ ที่ใช้ทำลิ้นแคน  หรือคำว่าก๊อบ ในภาษาดนตรีล้านนา  หมายถึงนมหรือหย่องของเครื่องดนตรี  เป็นต้น  ดังนั้นการรู้จักความหมายของภาษาจึงเป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่สำเร็จของนักวิจัยสนาม

 

สิ่งหนึ่งที่นักวิจัยโดยเฉพาะนักดนตรีภาคสนามต้องรู้จัก  คือการใช้เครื่องมือวิจัย  ซึ่งมีหลายอย่าง  แบบสัมภาษณ์ที่พัฒนามาเป็นโครงร่างทั้งที่ใช้แบบทางการหรือเป็นกรอบในการสัมภาษณ์  นักวิจัยควรเรียนรู้วิธีการใช้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์  การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการสำหรับศิลปินหรือบุคคลข้อมูลบางราย  อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร  เพราะเกิดอาการเกร็งข้อมูลคือความระมัดระวังในการบอกกล่าวเล่าความ  ยิ่งนักดนตรีของกลุ่มวัฒนธรรมถิ่นทราบว่าเป็นนักวิจัย  เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก  ปริญญาโท  เป็นครูอาจารย์  ที่เข้าไปทำการศึกษาก็เกิดความฝืดในการให้ข้อมูล  ดังนั้นกรอบที่ใช้   นักวิจัยจึงควรจำและลำดับข้อคำถามให้ได้  เปิดวิธีการอย่างไม่เป็นทางการ  เหมือนการสนทนาเยี่ยงลูกหลาน  หรือสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองให้มากที่สุด

 

เครื่องมือวิจัยอีกลักษณะหนึ่งคือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์  เช่นเครื่องบันทึกเสียง  เครื่องบันทึกภาพนิ่งประเภทกล้องถ่ายรูป  กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหว  เครื่องวัดระดับเสียง  ฯลฯ  นักวิจัยควรรู้จักคุณสมบัติ  ความเหมาะสมที่จะนำไปใช้  วิธีการใช้  รู้จักระบบ  และการตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมใช้  ซึ่งบรรดาเครื่องมือวิจัยลักษณะเช่นนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสำหรับนักวิจัยในสมัยปัจจุบันที่มีประสบการณ์ในการใช้อยู่แล้ว  สิ่งที่ควรต้องรู้คือการนำไปใช้ให้สอดคล้องกับเนื้องานในงานภาคสนามได้อย่างไร  เพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ของสิ่งที่ต้องการศึกษา

 

ขั้นตอนของทฤษฎีเกลียวรู้  สำหรับนักวิจัยภาคสนาม  อันดับที่ 1  จึงมุ่งไปที่การเตรียมพร้อมของนักวิจัยในขั้นที่เรียกว่า รู้จัก  คือ  ต้องรู้จักในส่วนของงานที่ต้องการศึกษา  รู้จักจารีต ขนบประเพณีของบุคคลในสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการเข้าไปศึกษา  รู้จักภาษาของท้องถิ่นเบื้องต้นที่จำเป็นต่อการเข้าถึงข้อมูล  และรู้จักใช้เครื่องมือวิจัยอย่างเหมาะสม.

 

              ตอนที่ 3  "รู้ใจ"

 

 

 

 

            การรู้ใจ  เป็นแนวคิดหนึ่งของทฤษฎี 5 เกลียวรู้  เมื่อพิจารณาโดยพื้นฐานแล้วดูประหนึ่งว่าแนวคิดนี้มีความง่าย  แต่เมื่อพิจารณาอย่างวิเคราะห์ถึงความซับซ้อนแล้วก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด  เพราะ “การรู้”  มีความหมายถึงความประสงค์แจ้งเพื่อต้องการให้เกิดเข้าใจ  แจ่มชัด  ไขความที่มีอยู่ให้ทราบ  ถ้านึกถึงคำว่ารู้ความ รู้คำ  อย่างนี้มักพบในการสื่อสารกับเด็กๆ ที่ต้องการสร้างและเสริมให้เข้าใจภาษา  นำไปสู่กระบวนการจดจำ  อีกส่วนหนึ่งคือการรู้ทัน  รู้ถึงเหตุการณ์  รู้ในส่วนนี้เป็นการนำไปสู่ความรู้ที่รู้ถึงความนึกคิดของบุคคลอื่นชนิดทันทีทันใด  ไม่หยุดรอไตร่ตรอง  เพราะอยู่ในขอบข่ายที่ว่ารู้ทันและรู้ถึง

 

            เกลียว “รู้ใจ”  ในงานภาคสนาม  มีนัยที่ขยายขอบข่ายกว้างกว่าการรู้ที่กล่าวข้างต้น  ถ้านักวิจัยชำนาญการสร้างแผนที่ความคิด  อาจขยายขอบเขตออกไปได้กว้างกว่า  มากกว่าเท่าที่ความคิดน้อมนำไป  แต่สำหรับแนวคิดนี้ต้องการให้เชื่อมบุคคลที่เกี่ยวข้อง  เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลในสนามอย่างมีประสิทธิภาพ   เริ่มต้นที่ตัวนักวิจัย  วงรอบประกอบด้วยบุคคลที่นักวิจัยต้องรู้ใจ  คือใจของบุคคลข้อมูล  ใจของพวกเขาที่อยู่กับพื้นที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลข้อมูลมากน้อยแตกต่างกัน   ใจของผู้อำนวยงานที่ส่งผลต่อความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล  ใจพวกตนซึ่งหมายถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักวิจัย  อาจเป็นกลุ่มนักวิจัยที่ทำงานเป็นหมู่คณะ  ผู้ช่วยวิจัย  และอีกส่วนหนึ่งคือใจของผู้วิจัยเอง  วงรอบทั้งห้ามีคำอธิบาย  ดังนี้   

 

รู้ใจบุคคลข้อมูล

            ในงานภาคสนามถือได้ว่าบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดคือ  บุคคลผู้เป็นเจ้าของข้อมูล  ได้แก่นักดนตรี  นักเพลง  เจ้าพิธีกรรม  และอีกหลายๆ คนที่รวมแล้วมีความหมายถึงผู้ให้ข้อมูลตรงของสาระข้อมูลที่นักวิจัยต้องการ  การเข้าไปสัมภาษณ์  เข้าไปสังเกตการณ์  จนถึงบางครั้งมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกิดมีขึ้น  วิธีการชั้นเป็นสิ่งดี  และเป็นสิ่งที่นักวิจัยนำมาใช้เสมอ  บางครั้งการดำเนินกิจกรรมเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ นักวิจัยอาจหลุดลืมไปว่าตนต้องหรือควรทำให้งานสำเร็จ  หรือให้ได้ข้อมูลมากที่สุด  ในหลายครั้งของการปฏิบัติการ  บุคคลข้อมูลเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า  เขาควรรู้และเข้าใจมากกว่าที่นักวิจัยแนะนำตัวว่าเป็นผู้วิจัยและกำลังทำวิจัย  สิ่งที่ซักๆ ถามๆ ทวนไปทวนมา  เพื่อให้นักวิจัยจดบันทึก  ทำการบันทึกเสียง  ถ่ายภาพมุมต่างๆ แบบขยันบันทึก  ขยันถ่าย  ขยันถาม  บรรยากาศในมุมกลับเช่นนี้  บุคคลข้อมูลย่อมข้อสงสัยใคร่รู้เช่นกันว่า  สิ่งที่ว่าจะทำวิจัยนั้น  บุคคลข้อมูลเหล่านั้นควรได้รับสิ่งใดตอบแทน  นอกจากคำขอบคุณ  ค่าตอบแทนบางจำนวน  และผลประโยชน์ของเนื้องานที่นักวิจัยได้ไปจากบุคคลข้อมูลเหล่านั้น  คืออะไร  อย่างไร  ทำไม  เป็นต้น  โดยเฉพาะการทำงานในงานภาคสนามที่มีข้อจำกัดของระยะเวลา  เป็นมูลเหตุให้นักวิจัยกับบุคคลข้อมูลมีช่องว่างระหว่างความรู้สึกเหล่านั้นอยู่  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจ  และรู้ใจบุคคลข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ควรกระทำ  ในบางสถานการณ์นักวิจัยก็ต้องให้เวลา  ใช้เวลา  สร้างเวลา  ระหว่างการปฏิบัติงานเพื่อปรับความสงสัยหรือสร้างความกลมกลืนกับบุคคลที่ทำการศึกษาให้มากที่สุด 

 

รู้ใจพวกเขา

            บริบท เป็นคำที่ใช้ทั่วไปสำหรับการศึกษางานภาคสนาม  บริบทมีหลายส่วนและหลายลักษณะ  ในที่นี้ขอกล่าวถึงบริบทที่เป็นคนซึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคสนามที่นักวิจัยทำการศึกษานั้น  ถ้าเป็นนักวิจัยที่มีประสบการณ์และผ่านปฏิบัติการเสมอย่อมพบว่าผู้คนที่อยู่ในพื้นที่  มักมีความสงสัย  และสนใจเฝ้าดูปฏิบัติการของนักวิจัย  เสียงพูดคุย  สายตาที่จ้องมอง จ้องดู  จ้องตากันเอง  การเข้ามุงยืนล้อมวง  ลักษณะไทยมุงจึงเป็นภาพที่เกิดขึ้นเสมอ  โดยเฉพาะเมื่อนักดนตรีบรรเลงเพลง  ร้องเพลง  การประกอบพิธีกรรม  บางครั้งพวกเขาเหล่านั้นก็เฝ้าชมการบรรเลง  ฟังเพลง  ชมการแสดง  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว  นักดนตรีหรือนักเพลงบางท่านอาจหยุดการเล่นดนตรี  ร้องเพลงมานานแล้ว  จนพวกเขาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เองก็ไม่ทราบ  ไม่เคยเห็นความสามารถของศิลปินพื้นบ้านที่เป็นบิดา  ลุง  ป้า  น้า  อา  เมื่อเห็นในวันที่นักวิจัยทำงาน  อากัปกิริยา  ความสนใจ  อยากชม  อยากฟัง  ก็เกิดขึ้นไม่แตกต่างไปจากนักวิจัย  เสียงต่างๆ ของพวกเขาบางครั้งจึงเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน  เช่น บางครั้งระหว่างการบันทึกเสียงดนตรีก็มีเสียงตะโกนเรียกลูกหลาน ลูกหลายคุยกันเอง  จนเสียงดังสอดแทรกกับเสียงที่นักวิจัยต้องการบันทึก   รวมไปถึงเสียงสตาร์ทเครื่องรถมอเตอร์ไซค์  พวกเขาผู้เป็นบริบทเช่นนี้นักวิจัยก็ต้องรู้ใจเขาด้วยว่า  ความอยากรู้อยากเห็น  ความไม่เป็นระเบียบ  ต้องมีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพื่อการควบคุมให้สงบ  ก็ยากที่จะห้าม   และห้ามที่จะไล่พวกเขาอย่างเด็ดขาด  เพราะเป็นบริบทของความเป็นจริงแล้ว  บริบทคือบุคคลที่เป็ฯพวกเขาส่วนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นที่  การควบคุมบรรยากาศจึงควรต้องมีวิธีการที่เป็นมิตรภาพ  อาจใช้วิธีผ่านไปที่ผู้เฒ่าผู้แก่  หรือผู้ใหญ่ในที่นั้นให้ช่วยเหลือบรรเทาปัญหา  เพราะผู้คนพวกเขาเกือบทั้งหมดในที่แห่งนั้นก็คือบุตรหลานของบุคคลข้อมูลเช่นกัน 

 

รู้ใจผู้อำนวยงาน

            ผู้อำนวยงานในที่นี้หมายถึง  ผู้ที่เอื้ออำนวยให้การทำวิจัยภาคสนามของนักวิจัยประสบความสำเร็จ  เป็นบุคคลที่ถือเป็นหลักของการทำงาน  เช่น  ผู้ใหญ่บ้าน  อบต.  นายอำเภอ  ผู้ว่าราชการจังหวัด  ฯลฯ  ท่านเหล่านี้เป็นผู้บริหาร  ผู้นำหมู่บ้าน  ผู้นำชุมชน  หรือท้องถิ่นแห่งนั้น ตามระบบของทางราชการ  นักวิจัยควรรู้ว่าการเข้าพื้นที่นั้นๆ ต้องมีหนังสือแจ้ง  หรือขออนุญาต  เป็นส่วนสำคัญที่ต้องกระทำ  เพราะการขออนุญาตจากผู้อำนวยงานเป็นการแสดงตน  แสดงวัตถุประสงค์  ข้อดีคือบุคคลข้อมูลที่เป็ฯต้นแหล่งข้อมูลย่อมให้ความร่วมมือต่อการทำงานวิจัย  นักวิจัยย่อมได้รับการต้อนรับ  ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ  ปราศจากความหวาดระแวงของทุกฝ่าย  ได้รับความสะดวก  ได้รับความปลอดภัย  ตลอดจนได้รับความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่  โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย  เช่น  เส้นทางลำเลียงยาเสพติด  สิ่งของผิดกฎหมาย  เป็นต้น

 

            บุคคลที่เอื้ออำนวยงานอีกลักษณะคือ  ผู้นำด้านจิตใจของชุมชน  เช่น  พระสงฆ์  โต๊ะครู  ศาสนาจารย์  พ่อมด  พ่อหมอ  ผู้เฒ่า  ประจำชุมชน  หรือผู้นำชนเผ่า  ในการทำงานสนาม  นักวิจัยอาจพบผู้อำนวยงานทั้งสองลักษณะพร้อมกัน  คือผู้นำตามระบบบริหารราชการของทางราชการและผู้นำด้านจิตใจ  นักวิจัยต้องรู้ใจผู้นำทั้งสองระบบอย่างรู้ใจว่าควรต้องทำอย่างไร  ในชุมชนจำนวนไม่น้อยที่ผู้นำด้านจิตใจมีอิทธิพลสูงกว่าผู้นำตามระบบบริหาร  เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่บุคคลในพื้นที่ให้ความศรัทธา  นับถือ เคารพ  เชื่อฟัง  ส่วนของการรู้ใจและควรกระทำก็คือนักวิจัยการหาโอกาสไปพบ  แสดงความคารวะ  เยี่ยมเยือน  แนะนำตน  หรือฝากเนื้อฝากตัว  ซึ่งเป็นวิธีการที่วัฒนธรรมไทยมีสิ่งนี้พร้อมอยู่แล้ว  จึงไม่สร้างความซับซ้อนให้แก่นักวิจัยแต่อย่างใด

 

รู้ใจพวกตน

            การทำงานวิจัยภาคสนาม  มีสาระข้อมูลงานเป็นจำนวนมากที่ต้องมีการทำงานมากกว่า  1  คน  เช่น  คณะนักวิจัย  ผู้ช่วยวิจัย  คนขับรถ  ตลอดจนถึงบุคคลที่นักวิจัยจ้างทำงานเฉพาะส่วน  พวกตนคือกลุ่มวงรอบของนักวิจัยเอง  งานประสบผลดีมากน้อยเพียงใดผู้ร่วมงานเหล่านี้สามารถช่วยได้เสมอ  และอาจช่วยไม่เต็มที่  หรือสร้างปัญหาให้เมื่อต้องทำงานที่มีความซับซ้อน  หรือทำงานต่อเนื่องกันยาวนานจนเกิดภาวะเครียด  การรู้ใจพวกตน  ให้กำลังใจ  ยอมรับฟังความคิดเห็น  อดกลั้นในบางเรื่อง  ยอมในบางสิ่ง  ลดในบางอย่างที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง  ประเด็นต่างๆ ดังกล่าวนี้มีสภาพเหมือนรู้ใจเขาใจเรา  การปรับใจตนเองของนักวิจัยกับการเอาใจผู้ร่วมงานก็เป็นวิธีการที่ดีและควรนำไปปรับใช้ในการทำงานภาคสนาม 

 

 ใจตน

            รู้สุดท้ายของการรู้ใจ  เป็นการทำความเข้าใจตนเองให้กระจ่าง  เพราะนักวิจัยบางคนอาจรู้จักผู้คนจำนวนมากมาย  แต่สำหรับตนเองแล้วกลับรู้จักน้อยที่สุด  ทั้งๆ ที่มีความสำคัญที่สุด  อาจช้ำหรับบางคนว่าใกล้ที่สุดคือตัวเอง  ไกลที่สุดก็ตัวเอง  การรู้ในตนก็เพื่อใช้ชีวิตนักวิจัยสนามอย่างมีความสุข  แม้บางครั้งมีความเหนื่อยล้า  มีความท้อถอย  ควบคุมตัวเองไม่อยู่ สมาธิในการทำงานมีจำกัด  มีความเครียด  ส่วนมากพบในกรณีของนักวิจัยที่มีข้อจำกัดของระยะเวลา  ที่ต้องส่งรายงานผลวิจัยต่อแหล่งอุดหนุนทุน  หากเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตก็ต้องอยู่ในการกำกับดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา  หรือเงื่อนเวลาที่ต้องทำวิจัยให้เสร็จก่อนหมดเวลาการศึกษาตามหลักสูตร การทำความรู้จักกับใจตนจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งเพื่อหาทางสร้างความสุขบนความเครียดให้ได้  ใครอื่นก็ไม่สามารถรู้ใจตนได้ดีเท่ากับใจตนเอง

 

            ในวงรอบ 5 ประเด็นของรู้ใจ  ตามทฤษฎี 5 เกลียวรู้นี้  นักวิจัยอาจใช้หลักพิเคราะห์ดูว่า   อะไรคือต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในด้านปฏิบัติการนั้น  เกิดจากผู้คนกลุ่มต่างๆ ในงานสนาม เกิดจากวิธีการวิจัยที่ผิดพลาด  เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ชำรุดเสียหาย  เกิดจากสภาพแวดล้อม  หรือสภาวะของตัวนักวิจัยเอง  ควรตรวจเจาะเสาะหาให้พบต้นเหตุ  เมื่อพบแล้วก็แก้ปัญหาในจุดหรือตำแหน่งนั้นๆ  เมื่อแก้ได้แล้วก็ต้องไม่ให้ปัญหานั้นหวนย้อนกลับมาอีก  โดยวิธีรวบคิดก็คือ ปัญหาเกิด  ค้นให้พบสาเหตุของปัญหา  แก้ปัญหาให้ตรงปัญหา  และไม่ควรให้เกิดปัญหาซ้ำเดิม    เท่านี้ก็สามารถทำงานวิจัยต่อไปอย่างมีความสุข.

 

   ตอนที่ 4  "รู้ลึก รู้จริง"

 

            ความสำคัญของทฤษฎี 5 เกลียวรู้  ที่จัดว่าเป็นหัวใจของขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการศึกษางานดนตรีภาคสนาม  คือ ประเด็นของการรู้ลึกและรู้จริง  ทั้ง 2 ขั้นตอนนี้เป็นความสอดคล้องและคู่ขนานที่สืบเนื่องมาจากส่วนที่เรียกว่ารู้จักและรู้ใจ  เสมือนเป็นการเคลื่อนเข้าไปสู่เป้าหมายที่ต้องมีการตระเตรียมและอุ่นความพร้อม  ตรวจสอบในสิ่งที่ต้องรู้จัก  พิจารณาแนวทางของบุคคลต่างๆ ที่รายรอบเนื้องานด้วยการรู้ใจ  เพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการที่เหมาะสม  ดังนั้นขั้นตอนต่อไปนี้จึงเป็นส่วนที่เรียกในภาษาวิชาการดนตรีวิทยาว่า  วิธีวิทยา (Methodology)   การรู้ลึกมีนัยของคำที่มีความหมายครอบคลุมถึง  ความลึกในความรู้  เพื่อนำไปยังความเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน  มากกว่าระดับเบื้องต้น    มากกว่าระดับพื้นฐาน  มากกว่าระดับก้าวหน้า  ความมากนั้นอยู่ในระดับของความรู้จริงที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน  เป็นหลักกำหนดประกันว่ามีความคงที่ เชื่อถือได้ทั้งของส่วนที่ลึกและส่วนที่จริง

 

            การรู้ลึกและรู้จริงในเนื้อสาระนั้น  เกิดขึ้นได้กับนักวิจัยดนตรีภาคสนามหลายวิธีด้วยกัน  เช่น  การเข้าถึงข้อมูลด้วยการศึกษาสืบค้นจากแหล่งความรู้ต่างๆ  การฟังคำบรรยาย  คำอธิบาย  การร่วมอภิปราย  ข้อมูลจากการระดมสมองของกลุ่มนักวิชาการ  การได้มาโดยตรงจากประสบการณ์ของนักวิจัย  ฯลฯ  มวลรู้ทั้งหลายทั้งปวงจึงหลอมรวมเข้าสู่กระบวนความคิดกระบวนความจำที่เรียกอย่างภาษาวิชาการว่าบูรณาการ  สามารถนำมาปรับให้เข้ากับงานวิจัยที่นักวิจัยต้องการได้ทันทีและอย่างถูกต้อง

 

ในการวิจัยงานดนตรีภาคสนาม     เมื่อรู้ลึกและมีความรอบรู้แล้วส่วนที่มีความสำคัญและต่อเนื่องขั้นต่อมาคือความสามารถในการนำไปสู่ภาคปฏิบัติ  เป็นความสัมพันธ์แบบห่วงโซ่  ประเด็นของแนวคิดนี้มี 4 ส่วนหลัก  ดังปรากฏตามแผนภูมิประกอบคำอธิบาย  ดังนี้

 

 

 

รู้ลึกในระเบียบวิธีการศึกษา  -  จนนำมาสู่การรู้จริง มีความแม่นยำ  จำ  และทำได้

            ระเบียบวิธีการศึกษา  เป็นหัวใจของการทำงาน  เพราะระเบียบก็คือระบบ  เป็นแบบแผนที่มีการจัดกำหนด  จัดลำดับ  จัดมีขั้นตอน  ให้เชื่อมโยง  ประสานกันอย่างสอดคล้อง นำไปสู่การทำงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพ  ได้คำตอบของผลวิจัยที่ครบถ้วน  ถูกต้อง  สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้  กรอบของระเบียบวิธีครอบคลุมประเด็นต่างๆ  ของระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้กันอยู่ทั่วไป  เช่น  การนำด้วยคำถามหลักที่ต้องการแสวงหาคำตอบ  การกำหนดวัตถุประสงค์  การวงรอบเพื่อล้อมกรอบการศึกษา  ให้มุ่งเป้าอย่างมีทิศทาง  ไปจนถึงการคิดว่าทำอย่างไรจึงได้ข้อมูล  เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว  ผู้วิจัยมีวิธีการอย่างไรต่อการจัดจำแนก  แยกแยะหมวดหมู่  มีวิธีการใดที่จะตรวจสอบความเที่ยงตรงของข้อมูลก่อนการวิเคราะห์ข้อมูล  เมื่อทราบผลการวิเคราะห์ข้อมูลแล้วมีการตีความข้อมูลชัดเจนเพียงใด  กระบวนการส่วนนี้นักวิจัยดนตรีภาคสนามควรมีความแม่นยำ  ในระเบียบวิธี  เพื่อให้ได้มาของประเด็นที่ทำการศึกษา

 

รู้ลึกในทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง  -  สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม

            ทฤษฎีในงานวิจัยมีความสำคัญมาก  เพราะทฤษฎีมีส่วนช่วยในการพิจารณาข้อมูลและความรู้ที่ค้นพบ มีความเป็นเหตุเป็นผล  เช่น  การศึกษาดนตรีในกลุ่มชาติพันธุ์ก็จำเป็นต้องรู้ทฤษฎีเกี่ยวกับวัฒนธรรม  ทฤษฎีทางสังคมวิทยา  ทฤษฎีการแพร่กระจาย  ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่  ทฤษฎีทางประวัติศาสตร์  ฯลฯ  เช่นนี้แล้ว  นักวิจัยก็ย่อมทราบว่า  กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีกลองกันตรึมใช้ในวงดนตรี  เพลงร้อง  หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีแคนเป็นเครื่องดนตรีสำคัญในพิธีกรรมต่างๆ ของกลุ่มชนตน  เป็นเช่นไร  อย่างไร  ทำไม   เมื่อศึกษากลุ่มชนชาวไทยเชื้อสายลาวในอำเภอเลาขวัญ  อำเภอหนองปรือ  จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีแคนใช้บรรเลงกันอย่างแพร่หลาย เพราะปัจจัยใดที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น   และเหตุใดชาวกะเหรี่ยงในอำเภอหนองปรือซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับอำเภอศรีสวัสดิ์ จึงใช้แคนเป่าลายสุดสะแนน  ในขณะเดียวกันก็เป่าแคนเพลงของชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วย  นับว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจ  ทฤษฎีต่างๆ ช่วยให้การวิเคราะห์มีความถูกต้องแม่นยำขึ้น  ทั้งนี้นักวิจัยจึงควรต้องรู้ลึกด้วยว่าทฤษฎีแต่ละทฤษฎีนั้นจะนำมาใช้ตอนใด  ช่วงใด  ส่วนใด  ประเด็นใดของการทำงานวิจัย

 

รู้ลึกในดนตรีและวัฒนธรรม -  จนสามารถนำมาเชื่อมโยงกับวิถีสังคมและวัฒนธรรมได้

            ดนตรีเป็นผลิตผลที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์  ดนตรีเป็นสิ่งๆ หนึ่งที่เมื่อไม่ทำก็ไม่ขับเคลื่อน  ดนตรีเกิดคุณค่าต่อเมื่อมนุษย์นำความเป็นดนตรีนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์  โดยคำข้างต้นมีความหมายว่าดนตรีก็คือดนตรี  ดนตรีเป็นสิ่งไม่มีชีวิตในคำตอบของชีววิทยาแต่ดนตรีก็เป็นสิ่งมีชีวิตในคำตอบของมานุษยวิทยา    ในแง่มุมของมานุษยวิทยาและนักดนตรีวิทยานั้นมองว่ามนุษย์เป็นผู้กระทำแล้วซึ่งดนตรีอันไพเราะ  มนุษย์จึงมีความสำคัญเหนือความเป็นดนตรี  วิถีดนตรีมีนัยและมีความสำคัญเหนือความเป็นดนตรี  การพิจารณาดนตรีจึงต้องมุ่งพิจารณาไปที่มนุษย์ซึ่งดำรงวิถีชีวิตอยู่ในสังคมนั้นๆ   ในแต่ละสังคมนั้นมีวัฒนธรรมเป็นกรอบของชีวิต  เช่น  ชาวไฮติย่อมมีการแต่งกายอย่างชาวไฮติ  กินอาหารอย่างชาวไฮติ  พูดด้วยภาษาไฮติ  มีดนตรี - เพลงร้องเป็นแบบของชาวไฮติ  เป็นต้น  ตัวอย่างนี้เพื่อแสดงว่าทุกส่วนในวิถีนั้นเป็นกรอบของวัฒนธรรมไฮติ  เมื่อนักวิจัยเข้าไปให้ชุมชนชาวไฮติเพื่อศึกษาดนตรีของชาวไฮติ  ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรมของชาวไฮติด้วยเพราะมีความเกี่ยวข้องต่อกัน  ข้อย้ำก็คือวัฒนธรรมเป็นส่วนที่อธิบายว่ามนุษย์ใช้ดนตรี - เพลง  เพื่อประกอบกิจกรรมในลักษณะใด  ความสำคัญและความหมายของดนตรีที่นำไปใช้นั้นเป็นเช่นไร  นักวิจัยต้องนำมาเชื่อมโยงกับวิถีสังคมและวัฒนธรรมให้ได้  ในขณะเดียวกันเนื้อในของดนตรีที่ประกอบเป็นโครงสร้างก็ได้รับการนำมาศึกษา วิเคราะห์ร่วมด้วย  เป็นการลงลึกในจังหวะ  ทำนอง  สายเสียง  คำร้อง  นัยสำคัญที่แทรกอยู่ในความเชื่อที่ศิลปินนำมาปรุงแต่งในกิจกรรมนั้นๆ การเชื่อมโยงวิถีเชิงรูปธรรมและนามธรรมจึงเป็นความจำเป็นและสำคัญไม่อาจออกจากกันได้

 

รู้ลึกในวิธีวิเคราะห์และสังเคราะห์ – จนพบความรู้  ความจริงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

            การรู้ลึกในส่วนของการวิเคราะห์  การวิเคราะห์โดยคำหมายถึงการไตร่ตรอง  ใคร่ควร  มีความสามารถในการแยกแยะ  ในทางวิจัยมีส่วนขยายออกไปว่าการวิเคราะห์นั้น  ต้องการวิเคราะห์อะไร  วิเคราะห์อย่างไร  ใช้เครื่องมือหรือวิธีการอย่างไรมาทำการวิเคราะห์  มีขั้นตอนหรือรายละเอียดการวิเคราะห์เป็นอย่างไร  มีระบบการตรวจสอบผลการวิเคราะห์ว่าถูกต้องอย่างไร  และมีวิธีสังเคราะห์เชิงเนื้อหาอย่างไร  เพื่อได้มาซึ่งผลความรู้การวิจัย  ผลวิจัยนั้นต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และตอบคำถามวิจัยที่กำหนดไว้แล้ว  ท้ายสุดของผลวิจัยที่ค้นพบนั้น  นักวิจัยได้นำมาตีความอย่างไร  อภิปรายผลของประเด็นวิจัยที่ได้นั้นอย่างไร 

 

            ขั้นตอนของความลึกรู้ลึก  รู้จริง  และคำอธิบายข้างต้นอาจจะซับซ้อนด้วยรูปแบบวิธีการ  แต่เชื่อว่าขั้นตอนที่กล่าวข้างต้นนี้เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่นิยมใช้ในการศึกษางานวิจัยเชิงคุณภาพ  เป็นระเบียบวิธีที่นักมานุษยวิทยานิยมใช้กันทั่วไป  และเมื่อนำกระบวนการนั้นมาใช้กับกระบวนการวิจัยดนตรี  วิธีวิจัยนี้ก็นำมาสู่การค้นพบความรู้ความจริงอย่างน่าพอใจ. 

 

ตอนที่ 5 "รู้พอ"

 

จากแนวทฤษฎี 5  เกลียวรู้ 

 

 

จากแนวทฤษฎี 5 เกลียวรู้ ที่ได้กล่าวมาตามลำดับ 4 เกลียวรู้ แล้ว คือ  รู้จัก  รู้ใจ  รู้ลึก  และรู้จริง  นั้น  สิ่งที่มีความเป็นไปได้คือการใช้เกลียวทั้ง 4 เกาะเกี่ยวกันเป็นกรอบโครงในการศึกษางานดนตรีภาคสนาม  กรอบโครงนี้มีประโยชน์เพราะเป็นทิศทางที่ได้ขมวดความคิดรวบยอดระหว่างความเป็นจริงในเชิงตรรก  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงให้สัมพันธ์กับแนวคิดของนักวิจัยสำหรับการทำความรู้จักในเนื้องานที่ต้องการลงมือปฏิบัติการท่ามกลางปรากฏการณ์สนามดนตรี

ลักษณะเด่นของการทำงานวิจัยดนตรีที่เป็นงานเชิงคุณภาพคือการขับเคลื่อนข้อมูลจำนวนมากให้ไปสู่กระบวนการศึกษาวิจัย  วิธีการนี้มีความหมายมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูล  เพราะเทคนิควิธีการได้ข้อมูลมาบางครั้งอาจต้องพบข้อจำกัดของการทำงาน  จนทำให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  ในขณะที่บางครั้งนักวิจัยก็อาจได้รับข้อมูลต่างๆ มาจำนวนมากจนเกินความต้องการ  ดังนั้นการศึกษาตามแนว 5 เกลียวรู้ จึงเป็นการกำหนดกรอบให้มีแนวทางดำเนินงานอย่างเพียงพอต่อการทำงาน  เพื่อนำไปสู่การสรุปผลประมวลความรู้  ตอบคำถามวิจัยหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดกรอบงานไว้ก่อนการลงมือปฏิบัติงาน  กรอบงานที่ศึกษาจึงมีความสำคัญในลักษณะของการสร้างขอบเขต  ประเด็น  และตัวแปรที่กำหนดขึ้นไม่ให้เกิดสภาวะที่เรียกว่าหลงทาง 

หลักการของคำว่า “รู้พอ” มีความหมายถึงความพอเท่าที่ต้องการ  เหมาะกับความต้องการ  เป็นความพอการที่สมควรแก่งานในระดับความพอที่หรือพอประมาณ  ไม่มากและไม่น้อย  แต่มีความครบถ้วนและเพียงพอ

ในการวิจัยดนตรีเชิงคุณภาพ  แหล่งศึกษามีความหลากหลาย  อาจเป็นวงดนตรี  สำนักดนตรี  นักดนตรี นักร้อง  นักเพลง    งานการบรรเลง  งานพิธีกรรม  หรืองานในวัฒนธรรมกลุ่มชนชาติพันธุ์  ฯลฯ  ในสาระของดนตรีที่ศึกษาย่อมมีบริบทของดนตรีที่นักวิจัยสามารถนำมาอธิบายความเป็นดนตรี  เช่นเดียวกับในวัฒนธรรมที่ศึกษาก็มีบริบทของวัฒนธรรมที่สามารถอธิบายความเป็นวัฒนธรรม  ในขณะเดียวกันทั้งดนตรีและวัฒนธรรมต่างก็มีจุดร่วมและสามารถอธิบายซึ่งกันและกันได้  ในหลายครั้งที่การลงมือปฏิบัติการดนตรีภาคสนาม  มีกรอบงานที่ศึกษาไม่รัดกุม  นักวิจัยไม่แม่นระเบียบวิธี  ไม่มีหลักการ  ไม่มีการนำแนวคิดหรือการนำทฤษฎีที่จำเป็นมารองรับการปฏิบัติงาน  ลงท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาจึงมีทั้งข้อมูลจำนวนมากแต่ไร้ประโยชน์  จำนวนของข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการศึกษาหรือจำนวนน้อยจนหาคำตอบที่ต้องการไม่ได้

การศึกษางานนอกกรอบงาน  และไม่คำนึงถึงสถานการณ์รายรอบ  นับว่าเป็นสิ่งที่พึงระมัดระวังอย่างมาก  หลายครั้งที่พบว่านักวิจัยสนามมีความตั้งใจในการทำงานมากเกินไป  และมุ่งรับข้อมูลฝ่ายเดียวโดยบุคคลข้อมูล  โดยเฉพาะนักดนตรี  นักร้อง  นักเพลง  หรือเจ้าพิธีกรรม  ที่ต้องอดทนต่อการให้ข้อมูล  บรรเลง  ขับร้อง  แก่นักวิจัย  ทั้งที่บางครั้งมีความเหนื่อยล้า หรือหากเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงกลางคืนที่หนาวเหน็บ  หรือดึกดื่นจนเกินไป ด้วยความเกรงใจบุคคลข้อมูลก็อาจอดกลั้นไม่แสดงออกให้ปรากฏ  ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากๆ  นักวิจัยต้องใช้ความเกรงใจ  เห็นใจ  หรืออื่นๆ ที่ปรับระดับการทำงานที่เรียกว่ารู้พอ  และไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นจะขาดหายไป  เพราะการวิจัยในลักษณะเช่นนี้ยังมีทางออกที่เหมาะสมคือการการเข้าไปซ่อมข้อมูลที่ขาดหายไป

จากทฤษฎี 5 เกลียวรู้นี้  เป็นแนวคิดที่ประมวลและกำหนดขึ้นจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงานวิจัยภาคสนาม  หากนักวิจัยทำความเข้าใจตามข้อคำที่อธิบายแต่ละขั้นแต่ละตอนของแต่ละเกลียวแล้ว  ก็เชื่อว่าทฤษฎีนี้สามารถนำไปใช้ได้กับการศึกษาดนตรีภาคสนามหรือการศึกษาในเชิงมานุษยวิทยาอื่นๆได้.

 

 

 




นานาสาระ

ขิมไทย : ขิมโลก
เขียนโน้ตดนตรีไทย ด้วยโปรแกรม Exel
วิธีการผูกสายขิม article
นัยสำคัญของเพลงพิธีกรรม
ดนตรีในงานประเพณีปอยหลวงที่วัดสันดอนมูล เชียงใหม่
ดนตรีชนเผ่าที่เซกอง ประเทศลาว
เพลงพื้นบ้านบางเลน นครปฐม : พ่อเฒ่าบุญช่วง ศรีรางวัล
ทฤษฎีความสอดคล้องกับการวิจัยขั้นสูง
นัยดนตรีสร้างส่วนสัมพันธ์ของจิตให้สัมบูรณ์
คุณค่าสุนทรียรส และสัจจศิลป์ที่ปรากฏในบทเพลง
ศิลปินบรรเลงเพลงไพเราะยิ่ง
ภวารมณียะ ที่อยู่ในทำนองเพลง
บรรเลงเพลงพิธีกรรม
การวิวัฒนาการของกีตาร์คลาสสิก
การเล่นเพลงบรรเลงประโคม
ดนตรีบวงสรวงเทพารักษ์ : เจ้าพ่อขุนทุ่ง
ราชทินนามของนักดนตรีไทย
ภูมิบ้านภูมิเมืองกับการปกป้องมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ISMI : การประชุมดนตรีศึกษานานาชาติ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
โครงการภูมิบ้านภูมิเมือง article
การสัมมนาการศึกษาดนตรีระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย article
การศึกษาดนตรีไทย article
การถ่ายทอดดนตรีในสถานศึกษา article



บ้านดนตรีครูสมชาย 929/12 k akachai Rd., mahachai muang ,samutsakhon 74000. TEL.081-3330147 Copyright © 2015 All Rights Reserved.