นัยสำคัญของเพลงพิธีกรรม
รศ.ณรงค์ชัย ปิฏกรัชต์
จินตนาการและสัญลักษณ์ เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนของสังคมมนุษย์ เกิดมีขึ้นในทุกกลุ่มชนทุกชาติทุกภาษา ความเป็นมนุษย์มีแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือความพิเศษที่ธรรมชาติให้มา มนุษย์มีความจริงและความไม่จริง มีความรู้และความไม่รู้ มีสิ่งที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ มีสิ่งที่น่าเชื่อและสิ่งที่เหลือเชื่อ มีสิ่งที่อยู่ด้านหนึ่งและสิ่งอยู่ตรงข้าม สลับทับสลับเสริมจนเกิดความกลมกลืนกันกลายเป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมของกลุ่มชนไปในที่สุด
มนุษย์ทุกกลุ่มชนในโลกมีความเชื่อโลกของจิตวิญญาณ เชื่อโลกของนามธรรมกันทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของความนึกคิดและจินตนาการ มนุษย์เชื่อโลกของอดีตชาติ การเวียนว่ายในวัฏสงสาร เชื่อในพระเจ้า เชื่อในแถน ผีฟ้า เทพยดา เชื่อในวิญญาณของบรรพชน เชื่อในพลานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การที่มนุษย์มีความเชื่อเพราะมนุษย์มีความไว้ใจ เห็นคล้อยตาม ศรัทธา นับถือ แม้ว่าสิ่งนั้นยังคงไว้ในจิตที่รู้สึกหรือนึกคิดก็ตาม การปรับแปรสภาพจากความคิดและจินตนาการให้เป็นสัญลักษณ์ทางรูปธรรมมีเกิดขึ้นอย่างมากมาย การวาด การขีด การเขียนภาพตามผนังถ้ำ แกะสลักไม้ ก้อนหิน ไปจนการหลอมโลหะให้เป็นรูปสิ่งเคารพ การอ่าน การสวดคัมภีร์ สวดพระธรรมบท ก็จัดอยู่ในวิธีการตามความเชื่อว่าสายเสียงที่พรั่งพรูจากการสวดบริกรรมนั้น สามารถติดต่อเชื่อมโยงไปสู่โลกของความเชื่อที่ตนมีอยู่ได้
การสวดบริกรรมหรือบูชา เป็นสิ่งที่กระทำได้เมื่อเป็นความต้องการของการสาธยายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารระหว่างมนุษย์ในโลกรูปธรรมกับจิตวิญญาณในโลกนามธรรม ส่วนการรับรู้จะนำไปถึงการสื่อสารหรือไม่นั้น ไม่มีใครทราบได้ เพราะไม่มีคำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนไม่มีเหตุผล ในความจริงแล้วก็มีเหตุผล เพียงแต่เหตุผลนั้นไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดหรือหลักฐานตามที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้ เหตุผลของความเชื่อของจิตนามธรรมจึงหยั่งรู้ด้วยวงล้อมของวัฒนธรรมของสังคมที่หล่อหลอมร่วมกันในสังคมหนึ่งๆ เป็นกระบวนการรับรู้ในเชิงมนุษยจิตตารมณ์ เป็นพื้นภูมิภวังค์ที่เกิดขึ้น จากจุดนี้ยังส่งผลให้มนุษย์ได้พัฒนาความคิดบนฐานจินตนาการว่า สิ่งใดคือพลังที่น่าจะมีความเป็นไปได้
การสวดบูชาเป็นการบอกเล่าพรรณนาความของบุคคลเจ้าพิธี มีการใดที่สามารถส่งกระจายกระแสสาธยายได้นอกจากการเลือกใช้เสียงใดเสียงหนึ่งมาทำหน้าที่ ด้วยแนวคิดและภูมิปัญญานี้จึงเกิดการนำเสียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม สิ่งใกล้ตัวและพบเห็นได้ในหลายสังคมวัฒนธรรมคือการใช้เสียงที่เกิดจากการตี มีฆ้อง- กลอง เป็นเครื่องมือสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ปรากฏการใช้เครื่องเป่าที่เรียกว่าปี่เข้ามาร่วม ท้ายที่สุดก็ประสมเป็นวงดนตรี จากเดิมที่มีเสียงเพียงเสียงเดียวก็เพิ่มเสียงมากขึ้นจนเป็นทำนอง มีเนื้อคำดีๆ มีความหมายตรงใจ เข้ามาขับร้อง และผสมผสานจนมีระเบียบวิธีของเป็นพิธีกรรมและสืบทอดต่อกันมา
บทเพลงที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ได้สร้างความสมบูรณ์ให้แก่พิธีกรรมอย่างมาก กระบวนการของพิธีกรรมเมื่อประกอบขึ้นจัดเป็นกาลปัจจุบัน ผู้ประกอบพิธีกรรมดำเนินกิจพิธีในกาลปัจจุบัน เช่นเดียวกับผู้ร่วมพิธีกรรมก็อยู่ในกาลปัจจุบันเช่นกัน ทุกคนอยู่ในจุดร่วมและมีเป้าหมายเดียวกัน มีเพลงเป็นสัญลักษณ์สื่อรู้ สัมผัสรู้ร่วมกัน อยู่ในจินตนาการสมมุติเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้คนในแต่ละสังคมวัฒนธรรม ก็ย่อมมีวงล้อมของสัญลักษณ์และจินตนาการ คนต่างวงล้อมจึงอาจไม่รับรู้คุณค่าและความหมายนั้นได้ดีเท่าคนในวงล้อมเดียวกัน
พิธีกรรมของดนตรีไทย หรือพิธีกรรมที่มีดนตรีไทยเข้าไปมีบทบาทขับเคลื่อน อยู่ในแนวคิดที่นำเสนอข้างต้น ครูอาจารย์ดนตรีได้จินตนาการให้เพลงพิธีกรรมสื่อบอกกิริยาสมมุติ เมื่อเริ่มต้นการประกอบพิธีตามประเพณี เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวชนาค งานสมโภช หรืองานใดๆ ที่มีวงปี่พาทย์ไปบรรเลงประโคม การบรรเลงเพลงโหมโรงคือสัญญาณบอกให้ทุกคนรับรู้ว่า ณ บัดนี้ กิจกรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว ฉากของกิริยาสมมุติได้ทำหน้าที่พร้อมกับเสียงเพลงที่ดังขึ้นนั้น ทุกเพลงในชุดโหมโรงมีนัยของการกราบบูชาพระรัตนตรัย การเชิญเทพยดาให้เสด็จลงมาสู่งาน การเดินทางด้วยริ้วขบวนเทพยนิกร การประสาทพร และเสด็จกลับ นำสิริมงคลมาสู่เจ้าภาพและแขกเหรื่อที่ไปร่วมงาน ทุกคนอาบอิ่มในปิตินั้น
เพลงที่จินตนาการเป็นกิริยาสมมุติ มีชื่อเรียกกันว่าเพลงหน้าพาทย์ สำหรับนิยามของเพลงหน้าพาทย์ครอบคลุมการประกอบอากัปกิริยาที่ศิลปินจินตนาการ โดยใช้ลีลาเสียง จังหวะเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อ จนเมื่อกระแสความเชื่อของผู้คนในวงวัฒนธรรมสอดคล้องตรงกัน เพลงนั้นก็มีนัยสำคัญเป็นกลไกผสานความรู้สึก ความเชื่อ ร่วมกัน เพลงพิธีกรรมที่สะท้อนความเป็นเพลงหน้าพาทย์พิธีกรรมและโดดเด่นมากที่สุดคือ เพลงหน้าพาทย์ที่ครูผู้ทำพิธีไหว้ครูเรียกเมื่อกล่าวกราบบูชา อัญเชิญครูเทพเจ้า และคุณครูดนตรีทั้งหลายมาสู่มณฑลพิธี
การเสด็จมาของเทพเจ้าและคุณครูดนตรี หรือการกระทำกิริยาสมมุติในพิธีกรรมไหว้ครูเป็นสัญลักษณ์เพลงที่มีนัยสำคัญ เช่น เมื่อเสียงตะโพนดังนำขึ้น ติง ถะ ตุ๊บ ติง ตุ้ม แล้วต่อด้วยทำนองเพลง เป็นการอัญเชิญพระประคนธรรพ เพลงที่บรรเลงก็คือเพลงตระพระประคนธรรพ ซึ่งวงการดนตรีไทยนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งดนตรี เครื่องดนตรีประจำองค์ของท่านคือตะโพน การมาของครูฤๅษีใช้เพลงเสมอเถร การชุมนุมของทวยเทพเจ้าใช้เพลงตระสันนิบาต เป็นต้น ทุกครั้งที่เพลงหน้าพาทย์ไหว้ครูดังขึ้น อาการของนักดนตรีไทยที่นั่งร่วมในพิธีต่างยกมือพนมพร้อมก้มลงแสดงความเคารพ บางรายอาจจะนั่งพนมมือเช่นนั้นไปตลอดจนเพลงจบ และทุกคนก็กระทำซ้ำอีกครั้งเมื่อได้ยินเพลงรัวดังขึ้น อาการที่ทำเช่นนั้นเพราะนักดนตรีในวงวัฒนธรรมดนตรีไทยต่างรับรู้ว่านัยสำคัญของเพลงที่เริ่มขึ้นนี้คือการกล่าวบูชาอัญเชิญ การรับรอง การเสด็จมาของครูเทพเจ้า จนถึงเมื่อเพลงรัวดังขึ้นต่อท้าย ทำนองของเพลงจึงต่อเนื่องจินตนาการสมมุติที่หมายถึงการปรากฏของเทพเจ้าพระองค์นั้น ดังนั้นเพลงหน้าพาทย์ในพิธีไหว้ครูส่วนมากจึงต้องต่อท้ายด้วยเพลงรัวเสมอ ยกเว้นบางเพลง เช่น เพลงนั่งกิน เซ่นเหล้าที่ไม่มีเพลงรัวต่อท้ายเนื่องจากเป็นเพลงที่รองรับกิริยาสมมุติสำหรับการเสวยเครื่องกระยาสังเวยนั้น
การสร้างสรรค์บทเพลงแห่งจินตนาการ นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของคุณครูอาจารย์ดนตรีไทย ที่ได้ปรุงรสเพลงให้สอดคล้องกับขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม เพลงจึงทำหน้าที่เสริมความสมบูรณ์ให้แก่พิธีกรรม ในขณะเดียวกันก็สร้างความสุขให้แก่ศิษย์หรือผู้เข้าร่วมพิธีได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตา ทำบุญกุศลแด่คุณครูอาจารย์ และได้รับพรสิริมงคลไปพร้อมๆ กัน.
29 กรกฎาคม 2550